มูลนิธิขนมปังแห่งความฝัน
July 22, 2025
แนวทางการออกแบบพิพิธภัณฑ์ดิจิทัล
August 1, 2025

เรื่องเก่าของครูเหม

” แบบบ้านไทยที่เขาเขียนและแบบบ้านที่สร้างจำลองไว้อย่างลืมไม่ลง มันอดคิดถึงบ้านไทยแท้ ๆ ที่ผมเคยยึดเอาเป็นที่ที่เกิดเกิดมาเป็นตัวเป็นตน ภายใต้บ้านหลังสูง ๆ อย่างโบสถ์และทั้งฝา ทั้งพื้นเป็นไม้สัก บ้านที่ให้กำเนิดแก่ผมนี้ก็คือบ้านในตำบลพระราชวังหรือแหล่งปากคลองตลาด ที่มีโรงเรียนราชินีอยู่ใกล้ ๆ แต่บัดนี้พื้นที่ดินนี้ได้กลายเป็นที่ทำการรัฐบาลไปแล้ว และที่หนึ่งเคยเป็นที่ดินร้างว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยพงและทุ่งดงนางแย้มนั้น เป็นที่ติดกับบ้านเก่าของผม ก็ได้กลายเป็นสถานีตำรวจพระราชวังไปแล้ว ประตูบ้านผมนั้นตรงกับช่องทางหนึ่งที่ตัดซอยจากถนนใหญ่มาท่าน้ำ มีชื่อว่าท่าตรงข้าม ที่ท่าน้ำมีท่าเรือจ้างบ้านฝากกรมข้าคลองบางหลวง และท่าวัดกัลยาณมิตร ช่องทางนี้ด้านซ้ายมือเป็นโรงพิมพ์ของกรมแผนที่เก่า ด้านขวามือเป็นบ้านของพระยาอัคราชฯ และพื้นที่ของพระยาอัคราชฯ นี้ติดกับวังพระองค์จุลจักรพงษ์นั่นเอง ถ้าท่านผู้อ่านอยากทราบว่าบ้านเกิดของผมนี้แต่เก่าเป็นบ้านท่านผู้ใดและตระกูลอะไร ก็โปรดอย่าทราบเลยครับ […]

Written by
Published on

July 29, 2025

” แบบบ้านไทยที่เขาเขียนและแบบบ้านที่สร้างจำลองไว้อย่างลืมไม่ลง มันอดคิดถึงบ้านไทยแท้ ๆ ที่ผมเคยยึดเอาเป็นที่ที่เกิดเกิดมาเป็นตัวเป็นตน ภายใต้บ้านหลังสูง ๆ อย่างโบสถ์และทั้งฝา ทั้งพื้นเป็นไม้สัก

บ้านที่ให้กำเนิดแก่ผมนี้ก็คือบ้านในตำบลพระราชวังหรือแหล่งปากคลองตลาด ที่มีโรงเรียนราชินีอยู่ใกล้ ๆ แต่บัดนี้พื้นที่ดินนี้ได้กลายเป็นที่ทำการรัฐบาลไปแล้ว และที่หนึ่งเคยเป็นที่ดินร้างว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยพงและทุ่งดงนางแย้มนั้น เป็นที่ติดกับบ้านเก่าของผม ก็ได้กลายเป็นสถานีตำรวจพระราชวังไปแล้ว

ประตูบ้านผมนั้นตรงกับช่องทางหนึ่งที่ตัดซอยจากถนนใหญ่มาท่าน้ำ มีชื่อว่าท่าตรงข้าม ที่ท่าน้ำมีท่าเรือจ้างบ้านฝากกรมข้าคลองบางหลวง และท่าวัดกัลยาณมิตร

ช่องทางนี้ด้านซ้ายมือเป็นโรงพิมพ์ของกรมแผนที่เก่า ด้านขวามือเป็นบ้านของพระยาอัคราชฯ และพื้นที่ของพระยาอัคราชฯ นี้ติดกับวังพระองค์จุลจักรพงษ์นั่นเอง

ถ้าท่านผู้อ่านอยากทราบว่าบ้านเกิดของผมนี้แต่เก่าเป็นบ้านท่านผู้ใดและตระกูลอะไร ก็โปรดอย่าทราบเลยครับ เอากันเพียงเรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน และเนื้อที่ดินกลุ่มนี้อยู่หลายบ้านที่เป็นเพื่อนบ้านหรือร่วมตระกูลใกล้ชิดกับท่านผู้ใหญ่ของผมนั้น ซึ่งนั้นทั้งสถานีตำรวจพระราชวังบวกเข้าไปด้วย ซึ่งเดิมทีเดียวสถานีตำรวจนี้อยู่ในบริเวณตลาดท่าเตียน เรียกกันตามภาษาชาวบ้านว่า “โรงพักท่าเตียน”

ในถนนรอบกำแพงเมืองนี้ ถ้าจะนับถนนซอยแม่น้ำมีอยู่หลายท่า ด้วยกัน จะขอนับให้ฟังแต่ละพานพุทธฯ ไปหาตำบลท่าเตียน ท่าที่หนึ่งคือท่าวัดเลียบ ท่าที่สอง ท่าโรงยาเก่า ท่าที่สาม ชื่อท่ากลาง ท่าที่สี่ ปากคลองตลาด ท่าที่ห้า คือท่าตรงข้าม ซึ่งตรงกับประตูบ้านเก่าผม ท่าที่หก ท่าเตียน ท่าที่เจ็ด ท่าโรงไม้ ซึ่งต่อจากนี้ไปขอมากที่จะไม่ขอกล่าว

ประตูบ้านเกิดผม เขาก็ก่อสร้างตามแบบเก่าละครับ ซึ่งในสมัยนั้นจะไม่เห็นอีกแล้ว

ประตูที่ใหญ่และหนาเทอะทะ เพราะสองข้างประตูที่ผ่านเข้าออกจะมีห้องของคนประตูอยู่ด้วย จึงทำให้ประตูหนาเทอะทะ ตลอดเวลาจะมีคนประตูนั่งอยู่หน้าห้องเสมอสองคน เพื่อรายงานกับคนเข้าออกที่จะมาหาเจ้าบ้าน พอพ้นประตูเข้าไป ทั้งสองด้านริมรั้วบ้านจะมีห้องหับแนวติดเป็นพัดไปตลอดรั้วล้อมบ้าน พื้นแถวนั้นถ่อสร้างโดยฝาถีบปูนหลังคากระเบื้อง พื้นห้องพื้นด้วยไม้ ห้องที่กล่าวว่าเป็นห้องของบริวารบ้างวงศ์ญาติบ้างคนบ้าง

ส่วนตัวบ้านของท่านเจ้าบ้านนั้นอยู่ตรงกลาง พื้นที่บ้านใหญ่ตรงกลางนี้แต่ก่อนเขาเรียกกันตำหนัก แต่อย่าไปพูดกันเลย เราพูดกันว่าตัวเรือนก็แล้วกัน

เป็นบ้านยกพื้นสูงให้ลานใหญ่ ๆ ปลูก รูปร่างเรือนอยู่ในรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีชานขวางลานเล่นกลางที่สร้างด้วยอิฐและปูน ถ้านับจากซ้ายมือขึ้นไป หลังจากขึ้นบันไดปูนแล้ว เดินเล็กน้อยจะเข้าประตูอีกชั้นหนึ่ง เข้าสู่หานชาลาใหญ่เล่นกลาง

ด้านซ้ายมือมีเรือนขนาดใหญ่สองหลังแนบติดกัน มีแต่ฝากับแต่ไม่มีฝาเกินเป็นห้องปล่อยโล่งเหมือนโรงโถง ไม่มีตอม่อเลย ความใหญ่โตของเรือนแฝดนั้นทำให้..น่ากลัว

ส่วนเรือนด้านขวานั้น มีปะห้องเรียบร้อยปิดประตูตายเสมอ ไม่มีคนอยู่ มีความใหญ่เท่ากับหลังแฝดนั้น

ครั้นสุดจวนชาลานี้ไปจะมีบันไดปูนลงสู่สวนดอกไม้ แต่ข้างสุดจวนชาลานี้ยงมีทางปูแฉลบเลี้ยวเข้าสู่ตัวเรือนใหญ่ติดหลังหนึ่ง ก่อสร้างผิดกับสามหลังที่กล่าวมาแล้ว เพราะสามหลังที่ผ่านมาสร้างแบบไทยแท้เป็นเรือนฝาปลูกปะกน ทั้งพื้นและฝาเครื่องบนไม้สักล้วน

แต่หลังที่สามนี้ซิ การก่อสร้างมีแบบจีนปน ฝาเรือนถีปูน แต่พื้นไม้เป็นไม้สัก หลังคาทำแบบจีนกลาย ๆ

ฝาผนังเรือนทุกด้านเขียนภาพเรื่องจีนทุกด้าน เป็นเรื่องสามก๊ก ที่บานประตูหน้าต่างเขียนภาพตัวสำคัญ ๆ ในเรื่องใหญ่ ๆ ท่าทางน่ากลัว ถือหอกถือดาบ มีหนวดมีเครายาว แต่มองไม่กลัว เพราะเห็นมาแต่เด็ก

ถ้าเวลานอนไม่น่าจะนอนดูภาพเหล่านั้นจนหลับ

นี่แหละครับท่านผู้อ่านที่เคารพ แบบบ้านเก่าแก่ที่ทำให้เกิดชีวิตมา ส่วนการตบแต่งบ้านผมไม่มีความรู้เลยว่าทำไมท่านผู้ใหญ่ท่านจึงตบแต่งบ้านเป็นจีนเป็นไทยก็ไม่ทราบ

หรือบางทีอาจจะให้เข้าชุดกับกระถางต้นไม้ลายครามก็เป็นได้ แบบบ้านและความเป็นอยู่อย่างนี้

ผมเคยเบื่อหน่ายว่าเป็นโบราณ เบื่อเหลือทน อยากจะพ้นการเป็นโบราณ

และพอดีฐานะของผู้ใหญ่บ้านผมรักษาไว้ไม่อยู่ จึงอันตรธานไปหมดสิ้น

ครั้นพอมาคิดเมื่อผู้ใหญ่เข้ากลับมาคิดอยากจะมีบ้านแบบเก่าเป็นไทยแท้ที่เคยให้นำเดินมา ก็หมดโอกาสเสียแล้ว

ทุกสิ่งทุกอย่างมันฉาย ๆ หาย ๆ ไปเป็นแบบอื่นพ้นการเป็นไทยไปจนหมดสิ้น เพราะตัวเองเป็นไทยก็อยากมีอะไรเป็นไทย ๆ ไว้กับตัว แต่ก็ไม่มีแล้ว

เมื่อผมเด็ก ๆ อยู่ในบ้านแบบเก่า ๆ นั้น ตอนเข้าพอดวงอาทิตย์ขึ้น ผมจะชวนเด็กคนใช้หญิงอายุรุ่น ๆ กันสองสามคนวิ่งผ่านชานชาลาใหญ่ผ่านเรือนสามหลังนี้ ออกพันรั้วเรือนลงสู่ชานบันได เก็บดอกกรรณิการ์ที่ยืนต้นอยู่สองข้างบันได ดอกมันจะหอมระรื่นอ่อน ๆ มันถูกลมโยกร่วงเกลื่อนพื้นอยู่ เราจะเก็บใส่ขันเล็ก ๆ จนเต็มปรี่ แล้วนำไปให้แม่ ถ้าหน้าหนาว เราจะแวะเก็บดอกดาวัลย์ที่ข้างชานปูนะเข้าเรือนเราหอมฟุ้งตลบไปทั่ว ทั้งกลิ่นสายหยุดที่บานเข้าในสวนจะโชยขึ้นมาตลบบ้าน พอตอนสายเราจะลงไปเก็บดอกปีบที่ข้างล่างมันหอมชื่นใจนัก ดมเสียพอใจแล้วก็เอามาฉีกเป็นเส้น ๆ ตากแดดให้แห้ง ให้คุณพ่อกับคุณลุงใส่ไปกับยาเส้นริบบอนมวนสูบมันหอมฟุ้งดีนัก

กลางวันผมจะลงเล่นกับเด็กผู้ชายข้างล่างบุกดงไม้บ้าง ปีนป่ายต้นไม้บ้างสนุกนักแต่ที่ชอบมากที่สุดก็คือรถม้าเก๋งที่ถือว่าล้าสมัยแล้วตัวถังเป็นเก๋งประดับกระจกสีต่าง ๆเขาขึ้นนั่งกันใครอยากเป็นสารถีก็ทำท่าขับอยู่บนที่นั่งสารถีเหยียบระฆังกันกิ๋งเก๋งแต่ส่วนรถม้ารุ่นใหม่เราเล่นไม่ได้คนขับรถขอร้องเราไม่ให้เล่น

คุณพ่อกับคุณลุงชอบเที่ยวกลางคืนเสมอ
พอตกบ่ายท่านทั้งสองจะสั่งเทียมม้าแล้วก็ออกจากบ้านไป
กว่าจะกลับก็ลามสี่ทุ่มไปแล้ว
น่าประหลาดนัก
คุณพ่อผมคุณลุงผมมีนิสัยเป็นนักเลง มีอำนาจใหญ่โตไม่กลัวใคร
แต่ทั้งสองกลัวผีนัก ท่านกลับจากเที่ยวแล้วจะผ่านชานชาลานั้นไม่ได้เลย
กลัวทั้งเรือนแฝดและเรือนหลังที่ปิดตาย

ผมมารู้คราวหลังว่าเรือนหลังที่ปิดตายนี่เป็นเรือนหลังที่สำหรับเก็บศพปู่ย่าตายาย
ตายลงก็เอาตั้งศพที่นั่นทำบุญกันไปสวดกันไป
จนครบกำหนดก็จัดการเผาไป หมดธุระแล้วก็ปิดตายไว้เฉย ๆ
จึงน่ากลัว

ส่วนเรือนแฝดที่ปล่อยโล่งนั้น เมื่อก่อนเป็นที่ซ้อมโขนละคร
มีงานก็ใช้ละครและโขนของตัวเอง
เรือนแฝดนี้จึงใหญ่เท่า ๆ กับโบสถ์วัดที่เล็ก ๆ
ใหญ่เท่ากันทั้งเรือนเก็บศพ

พวกผู้หญิงในบ้านก็กกลัวที่แถวชานชาลานี้เหมือนกัน
พอลค่ำแล้วก็ไม่ออกมาเลย ฉะนั้นจึงต้องมีคนในบ้านข้างล่างต้องขึ้นมานั่งคุยกัน
เพื่อคอยคุณพ่อผมกับคุณลุงกลับมา

และที่น่าประหลาดที่สุดก็คือ
คนแต่ก่อนนั้นถ้าเป็นชายมักจะมีนิสัยชอบมึนเมาถึงสามกษัตริย์คือ เหล้า กัญชา ยาฝิ่น
พวกที่มาคุยกันที่เรือนแฝดจึงเป็นพวกกัญชาทั้งนั้น
คุยกันครื้นเครงทุกคน

คุณแม่ผมมักเห็นใจพวกที่นั่งเฝ้า
จะมีขนมจันอับที่พวกจีนกินกับน้ำชาจีนเอามาให้เสมอ
มีหลายชนิดด้วยกัน ท่อใหญ่เบ้อเร่อหกสตางค์ แปดสตางค์ กินกันได้ตั้งท้าทุกคน
และก็อิ่มเอาการ เช่น ถั่วลิสงเคลือบน้ำตาล ถั่วตัด งาตัด ข้าวพอง จับกิ้ม เต้ารั่ว และอะไรๆ อีกสองสามอย่าง
พวกกัญชาโปรดนัก สูบแล้วมีขนมมากินด้วย คืนยังรุ่งก็ยอมอยู่

เรื่องที่เขาคุยกันนั้น มาคราวหลังรู้ว่าโกหกทั้งนั้น แต่เด็ก ๆ รู้สึกว่าฟังเขาคุยแล้วติดใจ เด็กที่จะมานั่งฟังเขาคุยกันนั้นมีเฉพาะคนเดียวเท่านั้น พวกเด็กผู้หญิงต้องนอนแต่หัวค่ำ เขาตั้งวงสูบกัญชากันและคุยกันที่มุมเฉลียงตัวเรือนแฝด คุณแม่มอบอนุญาตให้ไปฟังเขาได้ในเขตเวลาสามทุ่ม พอได้เวลาคุณแม่ผมจะไปตาม และพวกนั้นก็กราบไหว้อธิษฐานไว้ซื้อกัญชาสูบคืนหลัง

เรื่องที่เขาคุยกันนั้น แม้จะเป็นไปได้และไม่ได้ ผมก็ไม่รู้จักจะวิจารณ์ได้ รู้สึกว่าเรื่องต่าง ๆ ของเขาสนุกโลดโผนดีนัก และมักจะทุกรื่องเขาจะเล่าว่าเขาได้ไปท่องเที่ยวกับพวกฝรั่งทั้งนั้น บางทีเขาว่าเขาไปทำงานกับฝรั่ง คนที่เล่านี้ชื่อนายผล มีฟนหลอ อายุแก่คราวลุง ผมไม่คำนึงว่าคนสูบกัญชาที่มีสารรูปอย่างนั้นน่ะหรือจะไปทำงานกับฝรั่งได้อย่างไร เขาคุยกันอย่างไรผมก็พอใจฟังทั้งนั้น คุณแม่ผมหัวเราะบ่อย ๆ เมื่อผมนำไปเล่าให้ฟังว่าลุงผลเล่าอะไร ๆ ให้ฟังบ้าง คุณแม่จะว่า ‘อ้ายผลโกหกหลอกเด็กใหญ่’

รุ่งขึ้นเช้าผมได้ยินคุณพ่อพูดว่า เมื่อคืนแปลกใจที่เจ้าพวกกัญชาที่เคยนั่งคอยรับอยู่ที่เรือนแฝด แต่เมื่อคืนทำไมพากันคอยอยู่ที่ประตูบ้านหมด
คุณแม่มองหน้าผมแล้วมองดูคุณป้า ทั้งคุณแม่และผมก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับกวางที่เรือนแฝด
ความรู้สึกของผมเหมือนฝันไป เมื่อไม่มีใครพูดเรื่องกวางมันก็เงียบกันไปหลายวัน
ต่อมาคนใช้ผู้ชายที่อยู่ข้างล่างได้ขึ้นมาเปิดหน้าต่างที่เรือนแฝดทุก ๆ ด้าน
มีแสงสว่างขึ้น ก็ดูเรือนใหญ่แฝดนี้น่าร่มเย็นน่าชมอยู่
มองลอดหน้าต่างออกไปจะเห็นกิ่งไม้ออกด่าง ๆ ทอดยอดทอดก้านให้เห็น
สีใบเขียวอ่อนเขียวแก่ และใบเหลืองนวลของต้นแสงจันทร์ และใบสีแดงสีม่วงบางชนิดสลับสีกันสวยมากรือนสองหลังแฝดนี้ ถ้าเปิดหน้าต่างเสียทั้งหมดความมืดที่น่ากลัวก็จะหมดไป
กลับน่าจะไปนั่งเล่นนอนเล่นเสียอีก
ผมกับเด็กคนใช้หญิงได้ชวนกันไปเล่นที่นั่น
เหนี่ยวกิ่งไม้เก็บดอกไม้กันสนุกใครสมัครเล่นขายข้าวขายแกงก็เที่ยวเก็บใบไม้มาหั่นต่างกับข้าวทำขายกันสนุกสนามลมพัดเข้ามาเย็นสบายดี ทำให้ชักง่วง
เรือนแบบนั้นหลังคาสูงคล้ายหลังคาโบสถ์ จึงปะทะเอาความร้อนของอาทิตย์ไว้ไม่ปล่อยลมข้างล่างเลย
ตอนแรก ๆ พวกเราเอนตัวนอนกันเล่น ๆ ก่อน
ลงท้ายก็เลยหลับไปหมดทั้งสามคน
แต่ตัวผมจะหลับสนิทหรือไม่ก็ไม่ทราบ
หูได้ยินเสียงเพลงละคร เสียงลูกคู่และดนตรีเสียงเพราะจับใจ
มันเป็นเสียงเล่นละครรำ เนื้อเพลงรำพันน่าสงสารจับใจ
แล้วผมก็เห็นภาพขึ้นขัดนัดตา
เป็นละครเรื่องพระรถเมรี
นางเมรี์ตามพระรถมาทันกันที่ชายหาดที่สายน้ำเป็นกรดข้ามไม่ได้
แต่พระรถข้ามไปแล้ว
ฝ่ายเมรีก็ตัดพ้อว่าและอ้อนวอนอยู่คนละฝั่ง
นางทั้งร้องไห้คร่ำครวญรำพันรัก
ผมดูไปก็ร้องไห้ตามไปด้วยกับเขา
ผมดาดฟ้าด้วยน้ำตา แล้วภาพต่าง ๆ ก็หายไปผมฝันไปนั่นเอง
ตื่นขึ้นยังใจสะท้อนสงสารเมรี
เด็กหญิงเด็กสองคนก็หลับอยู่ข้างผม
ผมจึงปลุกให้ตื่นแล้วกลับเรือนที่อยู่
ในตอนเย็นคุณพ่อคุณลุงไปเที่ยวกันแล้ว
ตอนรับประทานอาหารผมจึงเล่าเรื่องฝันให้คุณแม่

ฟังว่านอนฝันที่เรือนแฝด คุณแม่ฟังคล้ายไม่สนใจ
‘เมื่อก่อนบ้านเรามีละคร ซ้อมกันเสมอ’ คุณแม่พูด
‘ทำไมเดี๋ยวนี้ไม่มีล่ะครับคุณแม่?’ ผมถาม
‘เลิกมานานแล้ว อายุลูกเกิดมา เราเลิกกันแล้ว’
‘แหม! เสียดายจัง เหมือนผมเกิดทันได้ดูเหมือนกัน เห็นชัดดีจังคุณแม่ฝันนี่ แหม! ผมสงสารนางเมรีจริงๆครับคุณแม่’ ผมพูดด้วยความจริงใจ

ผมมารู้เรื่องคร่าวหลังจากยายคร้ามแก่เล่าว่า เมื่อก่อนสนุกดี ได้ดูละครเสมอ และแกว่าตัวละครที่เป็นตัวเมรีนั้นได้ตายไปแล้ว จับไข้ตายละครเลยเลิกเลย คุณพ่อรักตัวเมรีนั้นมาก เมื่อตายลงก็เลยให้เลิกละครทั้งหมด ตัวละครต่างก็แยกย้ายกันไป ผมนั่งฟังและนึกเห็นหน้าตัวเมรีได้นัก เขาสวยดีมาก และเล่นตามบทได้น่าสงสารมาก

‘คุณแดงอย่าพูดถึงตัวเมรีให้คุณแม่ฟังอีกนะคะ’ ยายคร้ามว่า
‘เอ๊ะทำไมล่ะยาย?’ ผมถาม
‘คุณแม่เกลียดตัวเมรีนั้นแหละ อย่าไปพูดถึงอีกเลย คุณแม่จะดุเอา’

ผมได้ยินยายคร้ามห้ามแกมขอร้อง ผมก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่น่าประหลาด นับแต่วันที่ฝันเห็นก็หลายวันมา ผมยังจำหน้าตาของตัวเมรีได้ถนัด และโดยบังเอิญคุณพ่อมีเล่มอัลบั้มติดรูปถ่ายหลายเล่ม ผมแอบเปิดดูเรื่อยๆ และมีภาพทั้งหญิงทั้งชายเพื่อนๆ คุณพ่อทั้งนั้น และก็พบรูปหนึ่งผมสะดุ้งทั้งตัว
ผมพบหญิงคนที่เป็นละครตัวเมรีในนั้น แม้แต่จะไม่ได้แต่งละครก็จำได้ หญิงนั้นห่มผ้าสไบเฉียง นุ่งผ้าลาย หน้ายิ้มอย่างเศร้าๆ น่าประหลาดใจจริงๆ ผมเห็นแกในฝันในฐานะตัวละครที่ผมเกิดไม่ทันแกเพราะแกตายเสียแล้ว แล้วผมฝันเห็นแกได้อย่างไรเล่า เพราะรูปถ่ายที่เห็นนี้เป็นการยืนยันว่าผมฝันเห็นแกจริงๆ ทั้งๆ ไม่เคยเห็นแกมาก่อนเลย
ผมแอบเล่าให้ยายคร้ามฟังว่าได้เห็นรูปตัวละครเมรีในอัลบั้มภาพ ยายคร้ามตาลน

‘คุณแดงเห็นเขาจริงๆ แหละ’ แกว่า
‘คุณแดงอย่าพูดกับคุณแม่อีกนะ’

แกกําชับผมอีก และเหลียวหน้าเหลียวตาไปรอบๆ คล้ายจะกลัวคุณแม่ได้ยิน ผมเลยไม่ได้พูดอะไรอีก เก็บเป็นความลับไปเลย นี่แหละครับเรื่องของบ้านเก่า ที่รักษาไว้ไม่ได้เกิดจากฐานะของคุณพ่อและคุณลุงตกตํ่ามานานแล้ว ผู้คนที่อยู่ร่วมบ้านด้วยก็ส่วนมากเป็นคนครั้งคุณปู่ มาหลังๆ นี้ก็ไม่เสียเงินเสียทองอะไรที่เขารับใช้ เขาอยู่ด้วยความภักดี แต่ลงท้ายก็ต้องเป็นแพแตกกันไปจนได้
คุณพ่อก็ขายที่บ้านให้กับรัฐไปด้วยราคาไม่งามนัก และไปซื้อบ้านเล็กๆ อยู่ และบัดนี้ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ก็สิ้นไปหมดแล้ว

Check other posts about books and authors
July 29, 2025

เรื่องเล่าผีหลอกที่บ้านบางยี่ขัน

เรื่องเล่าผีหลอกของเจ้านายไทย จากพระนิพนธ์ของพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ (2464) ในยุคสมัยรัชกาลที่ 6–7 ซึ่งวิทยาการตะวันตกเริ่มเข้ามามีบทบาทในราชสำนักไทย ความเชื่อเรื่อง “ผี” ก็ยังคงดำรงอยู่ในจิตใจของเจ้านายบางพระองค์ หนึ่งในงานเขียนที่หายากและทรงคุณค่าซึ่งสะท้อนความเชื่อนี้คือ _หนังสือว่าด้วยอำนาจผี แลผีหลอก_ พระนิพนธ์โดย **พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์** เมื่อ พ.ศ. 2464 ซึ่งได้ทรงบันทึกประสบการณ์ส่วนพระองค์เกี่ยวกับ “ผีหลอก” ที่เกิดขึ้นจริงในสถานที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพระราชวังบางปะอิน หรือบ้านบางยี่ขัน เรื่องเล่าจึงไม่ใช่เพียงเรื่องน่ากลัว […]

cannot copy content of this page